วันอังคารที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สวัสดีค่ะ มารีวิว จมูกคุณหมอตุ๊ก แห่งดีมอร์ คลินิก (สาขาลาดพร้าว ตรงข้ามยูเนี่ยนมอลล์) รูปโปไฟล์ตอนยังไม่ทำจมูกนะค่ะ แต่งหน้ากลบเกลื่อนเอา อิอิ

หลังจากได้เข้าไปปรึกษาเรื่องการทำโบท็อกซ์กับคุณหมอ (โบท็อกซ์อย่างเดียวจริงจริง) วันนั้นได้จัดโบท็อกฮูเจล (เขียนผิดขออภัย) ของเกาหลี ขวดละ 50 cc ไป 1 ขวด คือดีงาม เวอร์วังตึงเปะ คุณหมอ และ จนท มีอัธยาศัยดีมาก ไม่ตีวงลูกค้า (รุมกันขายของ) แล้วให้คำแนะนำสบายๆ ไม่ขายของจนเกินไป เราเลยได้แวะปรึกษาคุณหมอเรื่องจมูก คือเรามีปัญหาเรื่องจมูกแบน แต่จมูกเราเรียว ไม่มีปีก (เหมือนจะได้รูปอยู่แล้ว) แต่ถ้ามองด้านข้างจะเห็นเลยว่าหน้าแบนมากกกกก (ก. ไก่ 8 ตัว) ตามรูปเลยค่ะ



พอปรึกษาคุณหมอ คุณหมอตุ๊กบอกว่า เรามีฮัมเยอะ คือเป็นกระดูกด้านข้างสันจมูก ระหว่างตากับจมูก ถ้าไม่แต่งหน้าจะเห็นเป็นรอยเขียวๆ ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งตรงนี้ต้องตะไบออก ประกอบกับ เนื้อบริเวณสันจมูกค่อนข้างน้อย ดึงแทบไม่ขึ้น แต่ปลายจมูกเนื้อพอมี ดึงขึ้นได้อยู่ ซึ่งก่อนเรามาปรึกษาหมอตุ๊ก ได้ดูมาหลายที่มาก ศึกษามาประมาณ 2 ปี สิ่งที่เรากังวลคือ 

1.        จะเห็นรอยต่อระหว่างจมูกและซิลิโคน เป็นสัน เป็นแท่ง เพราะเนื้อเราน้อย ซึ่งบางที่แนะนำให้ใช้กระดูกอ่อนหลังใบหูบ้าง, ซิลิโคนอเมริกาบ้าง
2.        กลัวจมูกทะลุ เพราะเนื้อน้อย
3.        เจ้าหน้าที่คลินิก ไม่ให้คำแนะนำเท่าที่ควร 

เมื่อมาคุยกับคุณหมอ คุณหมอบอกว่าที่คลินิก ใช้วิธีวางซิลิโคนใต้เยื้อหุ้มกระดูก ไม่ใช่ใต้ผิวหนัง เพราะฉะนั้นตัดปัญหาเรื่องเห็นรอยต่อซิลิโคนกับจมูกได้เลย ซึ่งคุณหมอยังบอกเราว่าจมูกที่สวย อยู่ที่ตรงนี้ (คุณหมอชี้ที่ปลายจมูก) ไม่ใช่ยิ่งโด่งยิ่งสวย เราเลยตัดสินใจทำกับคุณหมอตุ๊กทันทีวันนั้น โดยใช้ซิลิโคนอเมริกา (แบบเหลาพิเศษ) หน้าตาคล้ายทรงตั๊กแตน แต่คุณหมอจะนำมาเหลาให้เข้ากับจมูกเราอีกที (ชอบตรงนี้มาก เพราะซิลิโคนสำเร็จรูป ไม่ได้เหมาะ และเข้ากับรูปจมูกของทุกคน คุณหมอจึงต้องเหลาให้เข้ากับรูปจมูกเราอีกที) ซึ่งซิลิโคนนี้คลินิกบอกในไทยมีใช้แค่ 2 ที่ (อีกที่ไม่ทราบว่าที่ไหน) 




เริ่มวันที่ไปทำวันแรก นัดหมอวันที่ 13 ตอน 18.00 น. ไปถึงมีเครสก่อนเรา 2 เครส รอคุณหมอถึงเวลาประมาณ 18.30 น. ระหว่างรอ มี จนท. ชื่อคุณมี่ ให้คำแนะนำ การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด และอธิบายยาที่ต้องนำกลับบ้านมีอะไรบ้าง สิ่งที่ได้มามี ยาลดบวม, พารา, ยาฆ่าเชื้อ, น้ำเกลือล้างแผล, ขี้ผึ้งป้ายแผล, สำลีพันก้านไม้ไว้ล้างจมูก 1 ห่อ, เจล 1 ห่อ (รูปมีไม่ครบนะคะ)


ได้เวลาขึ้นเขียง ฤกษ์ดีตอน 19.00 น. พอดี หลังจากเปลี่ยนเสื้อคลุม, และทายาฆ่าเชื้อที่ใบหน้าแล้ว คุณหมอก็เข้ามาฉีดยาชาที่หน้า ไคลแม็กซ์ อยู่ตรงนี้เลย เพราะเราได้ยินมาการฉีดยาชานี่เจ็บแบบวัวตายควายล้มกันเลยทีเดียว (เพื่อนที่คอนโดเดียวกันเพิ่งไปทำมาจากที่อื่น บอกคุณหมอบีบปลายจมูก แล้วฉีดสวนเข้าไปจากปลายจมูก คือเจ็บจนต้องร้องกันเลยทีเดียว ทำให้เรานอยด์อยู่พักกับเรื่องการฉีดยาชา) ซึ่งผิดคาดค่ะ 

คุณหมอตุ๊กมาถึงจิ้มยาบริเวณ ข้างจมูก ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งคุณหมอจะกดก่อนแล้วฉีด มือเบามาก อารมณ์ฉีดโบท็อกซ์อะค่ะ แล้วหมอบอกว่า “อ่ะ หมอให้พักแป๊บนึง” ระหว่างนั้นคุณหมอก็เหลาซิลิโคน ยาชาเริ่มทำงาน รู้สึกชาบริเวณสันจมูก และปากรู้สึกบวมๆ เหลาซิลิโคนกันจนได้ที่ คุณหมอก็ลงมือฉีดยาชาอีก บริเวณหว่างคิ้ว และน่าจะบริเวณสันจมูกอีกที รู้สึกแค่เสียวๆ แล้วเราก็ถามหมอว่า ฉีดเสร็จแล้วหรอค่ะ ระหว่างนั้นหมอก็ชวนคุยไปด้วย 

หมอตุ๊กบอกว่าใช้วีธีฉีดบล็อกเส้นประสาทไว้ก่อน แล้วค่อยเติมส่วนที่เหลือ ซึ่งมันโอเคกับเรามาก บอกได้เลย ไปถอนฟันยังเจ็บกว่านี้อีก ลืมสิ่งที่เคยได้รับฟังมาในบัดดล หลังจากนั้นคุณหมอก็เริ่มลงมือผ่า ของเรามีการตะไบฮัมด้วย ที่บอกไว้ข้างต้น ซึ่งหมอบอกอาจจะช้ำกว่าเครสทั่วไป แน่นอน ทำใจได้เลยค่ะ (ยิ้มอ่อน) 

ระหว่างนั้นเราได้ยินแค่เสียงครืดดดดดด ๆๆๆๆ สักพัก ทดลองใส่ซิลิโคนเข้าไป มันตึงเกินไป คุณหมอก็เอาซิลิโคนมาเหลาเพิ่มอีกนิดนึง กลับใส่เข้าไปใหม่ มีการกดๆๆ รู้สึกแค่แน่นๆ จมูก แล้วคุณหมอก็บอกเสร็จแล้วค่า กำลังจะเย็บนะค่ะ หลังจากเย็บแผลแล้ว ก็ให้เราดูทรงจมูกก่อน  เรานอนประคบเจลเย็นสักพัก แล้วคุณหมอก็ใส่เฝือกอ่อนที่จมูกให้ ออกมาก็ทานยาแก้ปวดเลย แล้วก็กลับบ้าน (ถ้าดูจากรูปหลังทำจะเห็นรอยช้ำที่สันจมูกทันที่ นั่นคือที่เราตะไบจมูก) 



เมื่อกลับมาถึงบ้านเราซึ่งได้เตรียมตัวมาอย่างดี อิอิ ทำน้ำแข็งไว้แทนเจล โดยเอาถุงใส่ยา (ถุงซิป) มาใส่น้ำ แช่ในช่องฟรีซไว้ 4 ถุง ไว้ประคบแทนเจล (ประหยัดมากกกกก) มาถึงบ้านใช้ผ้าพันถุงน้ำแข็ง นอนประคบเย็น ไปประมาณ 2 ชม (หน้าเริ่มบวม เริ่ม มีสีม่วงบริเวณเบ้าตา) ทานยาแล้วนอน  (ไม่มีอาการปวดใดๆ )


ผ่านไป 1 วัน ( 14 มีนาคม 59)

หลังจากทำจมูกมา ตื่นเช้ามา บร๊ะเจ้า หน้าฉันเป็นนาเนียในตำนานทันที ตาด้านซ้ายปิดเกือบสนิท เบ้าตาเป็นสีม่วง ใต้ตาบวมเบ่ง วันนี้นอนประคบเย็นทั้งวัน ถี่ๆ เพราะถุงน้ำแข็งเรามีเยอะเวียนได้สบาย ถุงนึงใช้เวลา 1 ชม สบายๆ  แล้วทานยาที่หมอให้มา กับน้ำมะพร้าว แถมด้วยใบบัวบกชนิดแคปซูล ทานเพิ่มอัดเข้าไป วันนี้ไม่มีอาการปวดใด ๆ เช่นเคย แต่มีการอาการปวดหัวนิดหน่อย ประกอบกับความหงุดหงิดที่ตามองอะไรลำบากมาก เลยนอนแทบทั้งวัน ตื่นมาก็ประคบเย็นอีก ล้างแผลตามที่หมอสั่ง แล้วก็ป้ายขี้ผึ้ง ทานยา แล้วนอน


หลังทำวันที่ 2  ( 15 มีนาคม 59)

ตื่นมาอาการบวมที่ตาลดลง คงเหลือแต่บริเวณใต้ตา และรอยช้ำที่เบ้าตาเช่นเคย  ให้อารมณ์ปาดอายไลน์เนอร์สีม่วงเป็นคลีโอพัตรา สวยงามตามท้องเรื่องกันไปอีก ลงไปเดินเฉิดฉายได้ตามสบายเพราะตาไม่ปิด  วันนี้ประคบเย็นกันทั้งวันอีก 1 รอบ พร้อมทานยาตามหมอสั่ง น้ำมะพร้าว และแคปซูลใบบัวบก ล้างแผลตามปกติ 

***เราล้างหน้าโดยการใช้ฟองน้ำใส่เจลล้างหน้า วนๆๆๆ  แล้วค่อยใช้ฟองน้ำชุบน้ำเปล่าเช็ดออกหลายๆ ครั้ง เช็ดตามด้วยโทนเนอร์ปกติ เว้นแต่ตรงจมูก ใช้บีเฟสต้าชุบสำลีค่อยๆ เช็ดเอาความมันออก****


หลังทำวันที่ 3 (16 มีนาคม 59) รูปถ่ายเวลา 12.50 น. 

วันนี้อาการบวมยังคงที่ บริเวณหน้าผากมียุบลงบ้างหนังตา ยังเขียวช้ำอยู่  บริเวณใต้ตามีรอยบวม สีอมเหลืองๆ เขียวๆ อยู่

วันนี้คุณมี่ เจ้าหน้าที่คลีนิค ไลน์ติดตามอาการ บอกแผลสะอาด ดีมั่กๆ มีอาการหายใจไม่สุดเฉพาะจมูกด้านขวา เนื่องจากด้านในยังบวมอยู่สอบถามทางคลีนิคแล้ว แจ้งว่าปกติรอถอดเฝือกอ่อนที่จมูกก่อนก็จะปกติ 

*** ลืมบอกไป ทรงจมูกเราเอาแบบที่คุณหมอเคยทำเครสลูกค้ามา แล้วให้คุณหมอปรับให้เข้ากับหน้าเราโดยขอปลายพุ่งนิดนึง ให้หน้าดูมีมิติ ไม่แบน ๆ เหมือนเดิม เท่าที่เนื้อจมูกเรารับได้ในอนาคต***



มาแว๊ววววว วันนี้ครบ 1 สัปดาห์พอดีค่ะ (เพิ่งถอดเฝือกอ่อนเมื่อวาน) นัดตัดไหมวันที่ 27 มีนา นี้

อาการปัจจุบัน
1. ยังมีรอยช้ำที่หนังตาทั้ง 2 ข้าง 
2. ยังมีรอยเหลืองใต้ตา และแก้มด้านล่าง นิดหน่อย 
3. บริเวณระหว่างตา (ดั้ง) ยังบวมตุ่ยอยู่ ถ้ามองจากด้านหน้า จะมองยังไม่เห็นสันจมูกเท่าไร 
4. ไม่มีอาการปวด ยกเว้นปัดโดนปลายจมูก 
.
โดยรวม ชอบทรงค่ะ เพราะไม่ได้อยากได้สันจมูกสูงมากมาย แค่ขอให้สโลฟจากสันจมูก ลงไป เน้นปลายพุ่งนิดๆ แล้วเวลามองจากด้านหน้าให้เพิ่มมิติให้ใบหน้า (เน้นทำแบบธรรมชาติ เข้ากับหน้า) ซึ่งตอนนี้ เราประคบร้อน ก่อนนอน เพื่อลดรอยช้ำบริเวณใต้ตา และรอยเหลือบริเวณใต้ตา
.
อุปกรณ์ที่เราใช้ช่วยประคบร้อนคือ........แผ่นประคบร้อน แผ่นละ 35 บาท (มีขายในแฟมิลี่ เซเว่นไม่แน่ใจ) โดยแผ่นนี้ หลักการทำงานของเขา จะให้ความร้อนเมื่อสัมผัสอากาศ (ผงเหล็กออกไซด์ในแผ่นเป็นตัวทำปฏิกริยากับอากาศให้เกิดความร้อน) แต่ควรอ่านคำแนะนำก่อนการใช้นะค่ะ เขามีข้อจำกัดสำหรับคนมีโรคประจำตัว

วิธีการใช้งาน....ไม่ใช้ประคบแผ่นโดยตรงกับผิวเรานะค่ะ ต้องเอาแผ่นนี้ไปแปะบนผ้า เราใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กแปะ แผ่นนี้ลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีจะมีความร้อนออกมา ซึ่งแผ่นนี้ให้ความร้อนต่อเนื่องประมาณ 10 ชม อุณหภูมิที่ได้จากแผ่นนี้ประมาณ 50 องศาเซลเซียส 
เมื่อแปะแผ่นกับผ้าขนหนูแล้วก็ม้วนผ้าทับแผ่นประคบร้อน 1 รอบ จะอุ่นพอดีๆ นอนประคบไปค่ะ เราประคบประมาณจุดละ 15 นาที สลับไปมา ประมาณ 1 ชม ก็พัก แล้วประคบต่อ จนกว่าจะเข้านอน เช้ามารอยช้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเราประคบ หลังจากวันที่ 3 ไปแล้ว เพื่อลดอาการช้ำ (3 วันแรกประคบเย็นเพื่อลดบวม) 

ตอนนี้ยาที่คลีนิคให้มาก็หมดแล้ว แต่ยังทานใบบัวบกแคปซูลอยู่ ต่อเนื่องเพราะยังมีอาการช้ำอยู่





วันนี้แต่งหน้าโชว์สื่อวันแรก เอ้ยยย คือดีงาม หน้ายาวขึ้นเป็นกอง (เราไม่ได้โบท็อกซ์หน้าเรียวนะค่ะ แค่ลดริ้วรอยที่หน้าผาก กับหางตา) ดั้งยังบวมอยู่เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือจมูกยาวขึ้น ทำให้หน้าดูเรียวขึ้น ถ้ามองด้านข้างนี่ ชอบเลย โด่งดีค่ะ แต่ถ้ามองจากด้านหน้าอาจดูเหมือนหน้าไม่เปลี่ยนจากเดิมเท่าไรเพราะดั้งเดิมก็จะเล็กๆ เป็นสันประมาณนี้อยู่แล้ว อย่างที่บอกตั้งแต่ต้น เราอยากให้มองจากด้านข้างแล้วหน้าไม่แบนแบบเดิม แค่นั้น ชอบบบบ ปลิ้ม อยากให้ยุบเข้าที่ไวๆ


มาเปรียบเทียบ ก่อน-หลังทำ จากด้านหน้า 
ดูสันจมูกอาจไม่แตกต่าง (จมูกเดิมเล็กอยู่แล้ว) แต่ปลายจมูกจะเปลี่ยนไปคืองุ้มลง ไม่เห็นรูจมูกแบบเมื่อก่อน (เมื่อก่อนปลายจมูกดูบาน ๆ นิดนึง) สันจมูกดูยาวขึ้น แต่อาจเพรายังไม่ยุบเลยอาจมองไม่เห็นความแตกต่าง 

แต่....ด้านข้าง เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด หน้าดูมีมิติขึ้น หน้าไม่แบน สโลปปลายจมูกให้สูงขึ้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น